รู้หรือไม่!!หนึ่งในสามของผู้สูงอายุทรมานจากการท้องผูก
หนึ่งในปัญหาหนักอกเมื่อสูงอายุ ถ้าไม่ใช่เรื่องการกิน ก็หนีไม่พ้นเรื่องการขับถ่าย มีข้อมูลงานสำรวจประชาการที่น่าสนใจว่า ภาวะการท้องผูกเริ่มพบได้บ่อยในผู้สูงอายุตั้งแต่วัย 60 ปีขึ้นไป โดยผู้หญิงมักจะมีปัญหาท้องผูกมากกว่าผู้ชาย ภาวะท้องผูกยังพบมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย1
จึงไม่น่าแปลกใจว่า เรื่องท้องไส้เป็นเรื่องที่ผู้สูงอายุมาปรึกษาคุณหมอบ่อยๆ ท้องผูกเรื้อรังไม่เพียงแต่ทำให้ไม่สบายตัว เกิดความเครียดแล้ว ยังทำให้เกิดริดสีดวงทวาร เลือดออกในลำไส้ใหญ่ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
5 สาเหตุท้องผูกในผู้สูงอายุ และวิธีแก้ ดูแลตัวเองด้วยอาหาร
1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
เมื่ออายุเข้าสู่วัย 60 ปี ร่างกายรวมทั้งระบบการย่อยทำงานเสื่อมถอยและไม่เป็นปกติ การบีบตัวของลำไส้น้อยลง การย่อยและดูดซึมไม่สมบูรณ์ทำให้มีของเสียตกค้างมาก และเมื่อขับถ่ายน้อย ของเสียยิ่งค้างในลำไส้นาน น้ำจะถูกดูดกลับ ทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง ยิ่งทำให้ขับถ่ายยาก
2. การกินอาหาร
กากใยทั้งจากพืชและผลไม้ทำงานร่วมกันในการช่วยกระตุ้นให้ขับถ่าย รวมทั้งให้การขับถ่ายง่ายขึ้น ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักกินผักผลไม้ไม่เพียงพอ เพราะเคี้ยวลำบากเจ็บฟันและเหงือก หรือ บางคนกินผักผลไม้แล้วท้องอืด อึดอัด ทั้งยังมีพฤติกรรมดื่มน้ำน้อยเพราะหลีกเลี่ยงการเข้าห้องน้ำ เนื่องจากลำบากที่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ นี่ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะท้องผูกได้
3. การเสียสมดุลในลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวินะ
ยาปฏิชีวนะไม่เพียงกำจัดเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังทำลายโพรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ตายด้วย โพรไบโอติกส์มีความสำคัญต่อการรักษาความแข็งแรงของลำไส้ใหญ่และกระตุ้นการขับถ่าย ผู้สูงอายุที่ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน มักสูญเสียโพรไบโอติกส์ ลำไส้จึงเสียสมดุล ทำให้ท้องผูกหรือท้องเสียสลับกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในผู้สูงอายุเสมอๆ
4. การเคลื่อนไหวน้อย
การเดิน การเคลื่อนไหวร่างกายในการทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหว และเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย ดังนั้นผู้สูงอายุที่ชีวิตประจำวัน นั่ง หรือ นอนนานๆ มักจะท้องผูกมากกว่าผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆเป็นประจำ
5. ผลข้างเคียงของยา
ยาบางอย่างมีผลข้างเคียงทำให้ท้องผูกได้ เช่น ยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ชนิดสเตียรอยด์ ยาลดความดันบางชนิด ยาลดกรด เช่น อลูมินัมไฮดรอกไซด์ แคลเซียมคาร์บอเนต เป็นต้น
ท้องผูกแก้ได้
การใช้ยาระบายหรือยาสวนเป็นทางออกที่หลายคนเลือกใช้ เพื่อแก้ไขการท้องผูก แต่นั่นเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ หลายคนพึ่งยาระบายหรือยากสวนเป็นประจำจนร่างกายติด ถ้าไม่ได้ยาก็ถึงขั้นไม่ถ่ายกันเลยทีเดียว จริงๆแล้วภาวะท้องผูกสามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยการปรับอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน
1. กินอาหารที่มีใยอาหารสูงให้หลากหลาย
อาหารที่ให้ใยอาหารสูงได้แก่ผัก ผลไม้ ธัญพืช และผลไม้แห้งบางชนิด ปริมาณที่แนะนำให้ผู้สูงอายุทานต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดีมีดังนี้2 ธัญพืช ประมาณ180 กรัม ให้ครึ่งหนึ่งเป็นธัญพืชชนิดไม่ขัดขาว ผักสีเขียว/สีส้ม 2 ½ ถ้วยตวง โดยควรปรุงสุกและนิ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเคี้ยวและการย่อย กินผลไม้ที่หลากหลาย 1½ ถ้วยตวง และเสริมด้วยผลไม้แห้งที่นิ่มๆ เช่นลูกพรุน เป็นต้น
2. กินอาหารที่มีโพรไบโอติกส์
การกินใยอาหารอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรักษาสมดุลจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ด้วย จึงจะช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ โพรไบโอติกส์คือชื่อเรียกกลุ่มจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ ที่จะย่อยใยอาหารชนิดพรีไบโอติกส์ และให้กรดไขมันชนิดที่เป็นพลังงานแก่เซลล์ลำไส้โดยตรง
ลำไส้ใหญ่จึงแข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติ
โพรไบโอติกส์ชนิดที่ปลอดภัยและใช้ในอาหาร ได้แก่ แล็คโทบาซิลลัส พบได้ในพวกโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และผลิตภัณฑ์นมเสริมโภชนาการครบถ้วนบางชนิด แต่ต้องเลือกที่ระบุว่ามีจุลชีพที่มีชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่เป็นแค่ผลิตภัณฑ์จากการใช้เชื้อแล็คโทบาซิลลัสในกระบวนการผลิต การกินโพรไบโอติกส์ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายอีกด้วย โดยนักวิจัยพบว่า
ผู้สูงอายุที่กินอาหารเสริมใยอาหารพรีไบโอติกส์และจุลินทรีย์สุขภาพชนิด แล็คโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lactobacillus Paracasei) มีภูมิคุ้มกันที่ดี และติดเชื้อน้อยกว่า
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ร่างกายผู้สูงอายุจะสูญเสียน้ำในร่างกายง่ายกว่า เพราะผิวหนังและชั้นไขมันบางลง จึงเสี่ยงต่อการได้รับน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยทำให้ท้องผูก โดยทั่วไปคนเราต้องการน้ำประมาณ 8-10 แก้ว(ขนาด200ml) ต่อวัน แต่ถ้าอากาศร้อนหรือมีไข้ อาจต้องการเพิ่มมากกว่านั้น นอกจากการดื่มน้ำแล้ว การกินอาหารหรือของว่างที่มีน้ำ เช่น ซุป ผลไม้ปั่น โยเกิร์ต เยลลี่ หรือคัสตาร์ด เป็นต้น4 เป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยทำให้ได้รับน้ำได้เพียงพอในแต่ละวัน
4. ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกาย
การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน วิ่งเหยาะ รำมวยจีน ไทชิ หรือทำกิจกรรมเช่นทำความสะอาดบ้าน ทำสวนก็ได้ ประมาณ 30-60 นาที ต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยให้ระบบการย่อย การเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นไปอย่างปกติแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงอีกด้วย
กินใยอาหารแบบเข้าใจ
ผู้สูงอายุหลายรายพบว่าปรับอาหารก็แล้วแต่ยังท้องผูกอยู่ ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่เข้าใจเรื่องการกินใยอาหาร เมื่อถามดูจะพบว่าบางคนกินแต่ผัก บางคนกินแต่ผลไม้ และมักกินเฉพาะชนิดเดิมๆเป็นประจำ ทำให้ได้รับใยอาหารไม่ครบถ้วน จึงแก้การท้องผูกไม่ได้ผล
ทำไมต้องกินทั้งผัก ผลไม้ และธัญพืช ถ้ากินอย่างใดอย่างหนึ่งจะช่วยให้หายท้องผูกได้หรือไม่
หลายคนอาจมีคำถามนี้ เพราะบางคนชอบทานแต่ผัก บางคนชอบทานแต่ผลไม้ บางคนไม่ชอบทานข้าวกล้องเป็นต้น สาเหตุที่เราต้องกินให้หลากหลาย เพราะใยอาหารที่พบในผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆนั้น มีชนิดและการทำงานที่ต่างกัน
ใยอาหารแบ่งได้เป็น 3 ประเภท
1.ใยอาหารไม่ละลายน้ำ
ใยอาหารประเภทนี้ช่วยทำให้เกิดมวลอุจจาระ กระตุ้นการขับถ่าย เปรียบเสมือนเป็นไม้กวาด ที่กวาดรวมเศษอาหารให้ออกจากลำไส้ใหญ่ ใยอาหารไม่ละลายน้ำคือพวกเส้นใย หรือ โครงสร้างของพืชที่เป็นเปลือกหรือกากมองเห็นได้ หยาบแข็ง มักพบในอาหารจำพวกผัก ธัญพืชและข้าวไม่ขัดสี
2. ใยอาหารละลายน้ำ
ประเภทนี้ เปรียบเสมือนฟองน้ำ ที่ช่วยดูดน้ำและอุ้มน้ำไว้ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ขับออกจากร่างกายได้ง่าย มักพบในผลไม้ สังเกตดูจากผลไม้ที่มีลักษณะเนื้อปุยนุ่ม เนื้อฉ่ำน้ำ เช่น ลูกพรุน แอปเปิ้ล กล้วย ส้ม มะละกอ หรือพอแช่น้ำจะพองดูดน้ำไว้ เช่น เม็ดแมงลัก เป็นต้น ใยอาหารละลายน้ำบางชนิดยังพบว่ามีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด เช่น เบต้า-กลูแคน มักพบในข้าวโอ๊ต และ ยีสต์ทำขนมปัง
3. ใยอาหารชนิดพรีไบโอติกส์
พรีไบโอติกส์เป็นใยอาหารละลายน้ำแบบหนึ่ง จึงมีลักษณะเหมือนกับใยอาหารละลายน้ำทั่วไป ดูด้วยตาไม่สามารถแยกได้ แต่ที่พิเศษกว่าใยอาหารละลายน้ำทั่วไป คือมีคุณสมบัติเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ(โพรไบโอติกส์)ที่อยู่ในลำไส้โดยเฉพาะ จึงทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเติบโตได้ดี สร้างสมดุลในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ขับถ่ายได้ดี พรีไบโอติกส์ที่คุ้นเคยกันดี ได้แก่ อินนูลิน(Inulin) และ ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS) พบได้มากในหัวชิคคอรี่ นอกจากนั้นยังพบในกล้วย หัวหอม กระเทียม เป็นต้น แต่ในปริมาณที่ค่อนข้างน้อยมาก
ท้องผูกแม้ว่าจะดูเป็นอาการทั่วไป แต่การท้องผูกเรื้อรังก็มีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก จึงไม่ควรมองข้าม
การช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ก็เหมือนการทำความสะอาดท่อ ที่ต้องทำให้ของเสียอ่อนนุ่ม ใช้แปรงขจัดของเสีย และกำจัดเชื้อโรคด้วย จึงต้องใช้ใยอาหารหลายชนิดทำงานร่วมกัน พร้อมกับ จุลินทรีย์สุขภาพ แต่หากการเตรียมอาหารที่มีความหลากหลายของ ผักผลไม้ และมีจุลินทรีย์สุขภาพทำได้ยาก หรือ มีปัญหาการเคี้ยวผักผลไม้สด เพราะสุขภาพฟันที่ไม่แข็งแรง ปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์อาหารที่เสริมใยอาหารและโพรไบโอติกส์ไว้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ได้รับใยอาหารครบถ้วนและเพียงพออย่างง่ายๆ ได้อย่างมั่นใจ